วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

ประวัติพระมหากัสสปเถระ (๕)

ประวัติพระมหากัสสปเถระ (๕)
ศิษย์เผากุฏิของพระมหากัสสปเถระ

ในกรุงราชคฤห์ มีพระ ๒ รูปเป็นผู้อุปัฏฐากพระมหากัสสปเถระผู้อาศัยอยู่ในถ้ำปิปผลิ.ภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งกระทำการปฏิบัติต่อท่านพระมหาเถระโดยเคารพ ส่วนอีกรูปหนึ่งเป็นคนมักตู่เอากิจที่พระอีกรูปหนึ่งกระทำเป็นเสมือนหนึ่งว่าตนเป็นผู้กระทำเอง เมื่อภิกษุผู้ปฏิบัติต่อพระเถระโดยอาการอันเคารพนั้นตั้งน้ำบ้วนปากเพื่อถวายพระมหาเถระเป็นต้น ภิกษุขี้ตู่รูปนั้นก็จะไปยังสำนักของพระเถระ ไหว้แล้วกล่าวว่า ท่านขอรับ น้ำ กระผมตั้งไว้แล้ว ขอท่านจงล้างหน้าเถิดขอรับ เมื่อภิกษุรูปแรกนั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ปัดกวาดบริเวณกุฏิไว้แล้ว ในเวลาพระเถระออกมา ภิกษุขี้ตู่รูปนั้นก็จะทำอย่างโน้นอย่างนี้ไปมา ทำทีเสมือนว่าบริเวณนั้นทั้งสิ้นตนเป็นผู้ปัดกวาดไว้ ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรจึงคิดจะทำให้กรรมของพระหัวดื้อนี้ปรากกฎต่อพระเถระ

เมื่อภิกษุขี้ตู่นั้นฉันแล้วหลับอยู่นั้น ภิกษุรูปแรกจึงต้มน้ำเพื่อถวายพระเถระสำหรับอาบแล้ว ก็ตักใส่ในหม้อใบหนึ่ง ตั้งไว้หลังซุ้ม แต่เหลือน้ำไว้ในหม้อต้มน้ำประมาณกระบวยหนึ่ง แล้วตั้งไว้ให้เดือดพลุ่งเป็นไออยู่.

กรรมตามทัน

ภิกษุนี้ตื่นขึ้น เห็นไอพลุ่งออกจากหม้อต้มน้ำ จึงคิดว่า น้ำที่ภิกษุนั้นต้มแล้วคงไว้ในซุ้ม จึงรีบไปเรียนพระเถระว่า “น้ำกระผมตั้งไว้ในซุ้มแล้วขอรับ นิมนต์ท่านสรงเถิด” แล้วเข้าไปในซุ้มพร้อมกับพระเถระ พระเถระเมื่อไม่เห็นน้ำ จึงถามว่า“น้ำอยู่ที่ไหน? คุณ” ภิกษุหนุ่มไปยังโรงต้มน้ำ จ้วงกระบวยลงในภาชนะที่มีไอน้ำพลุ่งอยู่ เมื่อกระบวยกระทบพื้นภาชนะเปล่าที่ไม่มีน้ำก็มีเสียงดังเหมือนเสียงระฆัง ตั้งแต่นั้นมาภิกษุนั้นจึงมีชื่อว่า อุฬุงกสัททกะ พระภิกษุนั้นเมื่อพบว่าหม้อน้ำนั้นไม่มีน้ำ จึงโพนทะนาว่า “ขอท่านจงดูกรรมของภิกษุหัวดื้อเธอยกภาชนะเปล่าขึ้นตั้งไว้บนเตา แล้วไปไหนเสีย? กระผมเรียนด้วยเข้าใจว่าน้ำมีอยู่ในซุ้ม” แล้วก็ได้ถือหม้อน้ำไปยังท่าน้ำ.

ฝ่ายภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรจึงนำเอาน้ำมาจากหลังซุ้มแล้วตั้งไว้ในซุ้ม.พระเถระเห็นดังนั้นจึงพิจารณาดูก็รู้ว่า “ภิกษุอุฬุงกสัททกะนั้น ชอบกระทำกิจที่ตนไม่ได้ทำ ให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็นผู้กระทำเอง” ท่านจึงได้ให้โอวาทแก่พระอุฬุงกสัททกะผู้มานั่งอุปัฏฐากในเวลาเย็นถึงความไม่ควรของความประพฤติของภิกษุนั้น

ภิกษุนั้นโกรธ แล้วในวันรุ่งขึ้นจึงไม่เข้าไปบิณฑบาตกับพระเถระ เมื่อพระเถระไปแล้ว ภิกษุนั้นไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากของพระเถระ เมื่อถูกอุปัฏฐากถามถึงพระเถระ พระอุฬุงกสัททกะจึงบอกว่าพระเถระนั่งอยู่ในวิหาร นั่นแหละ เพราะไม่ผาสุก เมื่อเขากล่าวว่า ได้อะไรจึงจะควรขอรับ จึงกล่าวว่า ท่านจงให้สิ่งนี้และสิ่งนี้ แล้วถือเอาสิ่งที่อุปัฏฐากถวายพระเถระนั้นไปยังที่ชอบใจของตน ฉันแล้วจึงได้ไปยังวิหาร

พระเถระจับความเลวทรามของศิษย์ได้

ในวันรุ่งขึ้น พระเถระไปสู่ตระกูลอุปัฏฐากนั้น, เมื่อพวกอุปัฏฐากกล่าวว่า “ได้ยินว่า ความไม่ผาสุกเกิดแก่ท่าน’ จึงจัดแจงอาหารส่งไปตามที่ภิกษุหนุ่มแจ้ง ความผาสุกเกิดแก่ท่านแล้วหรือ?” พระเถระได้ฟังก็นิ่งเสีย, ครั้นเมื่อพระเถระไปสู่วิหารแล้ว จึงกล่าวกับภิกษุหนุ่มนั้นผู้มาอุปัฏฐากในเวลาเย็น ว่า “การกระทำของเธอเมื่อวานนี้ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรแก่บรรพชิตทั้งหลาย”

ประทุษร้ายแก่ผู้มีคุณตายไปเกิดในอเวจี

ภิกษุนั้นโกรธแล้วผูกอาฆาตในพระเถระในวันรุ่งขึ้น เมื่อพระเถระเข้าไปสู่บ้าน ส่วนตนพักอยู่ในวิหาร จึงจับท่อนไม้ ทุบวัตถุทั้งหลาย มีภาชนะสำหรับใช้สอยเป็นต้น แล้วจุดไฟที่บรรณศาลาของพระเถระ สิ่งใดไฟไม่ไหม้ก็เอาพลองทุบทำลายสิ่งนั้นแล้วหนีออกไป พระอุฬุงกสัททกะนั้น ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นเหมือนดังเปรต ผอมโซ ครั้นตายแล้วก็ได้บังเกิดในอเวจี

เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์

ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฎในชาดกต่าง ๆ เช่น

เกิดเป็นพระสูระ พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจันทราช ใน จันทกุมารชาดก

เกิดเป็นน้องชายหนึ่งใน ๖ คน พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นมหากัญจนดาบส ใน ภิงสจริยาชาดก

เกิดเป็นทุกูละดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นสุวรรณสาม ใน สุวรรณสามชาดก

เกิดเป็นบิดาของมาณพผู้เสาะหาวิชา พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ ใน อสาตมันตชาดก

เป็นประธานในการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ

เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้วถึงวันที่เจ็ด ครั้งนั้นพระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุบริวาร กำลังเดินทางจากเมืองปาวา จะไปยังเมืองกุสินารา เพื่อเฝ้าพระบรมศาสดา ระหว่างได้แวะพักร้อนที่ร่มไม้ ขณะที่กำลังนั่งพักอยู่นั้น ได้มีอาชีวกะผู้หนึ่ง ถือดอกมณฑารพที่ผูกติดกับกิ่งไม้ต่างร่มเดินมา พระเถระคิดว่า ดอกมณฑารพปกติจะมีก็แต่ในแดนสวรรค์ จะมีในโลกมนุษย์ก็ต่อเมื่อผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ หรือเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดาเป็นต้น แต่วันนี้ ผู้มีฤทธิ์ได ๆ ก็ไม่ได้แสดงฤทธิ์ พระศาสดาของเราก็ไม่เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา มิใช่เวลาที่ทรงประสูติ ทั้งวันนี้พระองค์ก็มิได้ตรัสรู้ ไม่ได้ประกาศพระธรรมจักร ไม่ได้แสดงยมกปาฏิหาริย์ ไม่ได้เสด็จลงจากเทวโลก ไม่ได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระศาสดาของเราทรงพระชรา คงจะเสด็จปรินิพพานเสียเป็นแน่แล้ว

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ท่านจึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่ง เข้าไปหาอาชีวกะผู้นั้น ถามว่า ท่านทราบข่าวพระบรมศาสดาของเราบ้างหรือไม่ อาชีวะจึงตอบว่า พระสมณโคดมได้ปรินิพพานเสียได้เจ็ดวันเช้าวันนี้ ดอกไม้นี้ข้าพเจ้าได้เก็บมาจากบริเวณที่เสด็จปรินิพพานนั้น

บรรดาภิกษุที่เดินทางมาพร้อมกับพระมหาเถระ ภิกษุพวกที่ ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล ต่างก็โศกเศร้าคร่ำครวญ ล้มลงกลิ้งเกลือก ไปมา รำพันถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนภิกษุที่บรรลุอรหัตผลแล้ว มีสติ สัมปชัญญะ ปลงธรรมสังเวชถึงความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย

ในกลุ่มภิกษุที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผลนั้น มีพระภิกษุปุถุชนรูปหนึ่งชื่อว่า สุภัททะ ซึ่งบวชเมื่อแก่และและมีใจอาฆาตพระพุทธองค์มาแต่เดิม ได้เที่ยวกล่าวแก่ภิกษุทั้งหลายว่าพวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราจะสบายแล้ว ด้วยเมื่อพระมหาสมณะยังอยู่นั้น ก็ได้คอบห้ามพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ บัดนี้ พวกเรา ปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาจะทำสิ่งใด ก็จะไม่กระทำสิ่งนั้น

พระเถระฟังคำที่พระสุภัททะได้เที่ยวพูดกับหมู่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว ท่านก็เกิดธรรมสังเวช.ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพิ่งจะปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน พระบรมศพก็ยังอยู่ เสี้ยนหนามศาสนาอันใหญ่เกิดขึ้นเร็วถึงปานนี้ พระศาสนาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาด้วยทุกข์ยากนี้ถ้าปล่อยให้คนบาปเหล่านี้เติบโตและได้คนบาปอื่นมาเป็นพรรคพวก ก็อาจจะทำพระศาสนาให้เสื่อมถอยได้.

ถ้าเราจะให้ขับไล่พระชั่วองค์นี้ไป ผู้คนทั้งหลายก็จะพากันตำหนิโทษเราว่า พระศาสดาปรินิพพานไปยังไม่ทันไร พระบรมศพของพระสมณโคดมยังคงอยู่ เหล่าสาวกก็เกิดวิวาทกันเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรอดกลั้นไว้ก่อน พระธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้ทั้งหลายที่เมื่อต้องลมก็ย่อมกระจัดกระจายไป ฉันใด สิกขาบทในวินัยก็จะพินาศ ธรรมในพระสูตรก็จะพินาศ ธรรมในพระอภิธรรมก็จะพินาศ ด้วยอำนาจของบุคคลชั่วเช่นนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.เพราะฉะนั้น เราจะต้องสังคายนาธรรมวินัย เพื่อให้พระธรรมนี้ พระวินัยนี้ มั่นคงเหมือนดอกไม้ที่ผูกไว้ด้วยด้ายเหนียว

ในอดีต เหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จต้อนรับเรา ตลอดทาง ๓ คาวุต (๓๐๐ เส้น) และทรงประทานอุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ประการ ทรงประทานเปลี่ยนจีวรจากพระวรกายกับจีวรเก่าของเรา ตรัสทรงยกย่องว่าเราเป็นกายสักขี (มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ก็เพื่อประโยชน์ว่าเราจะทำสังคายนาพระธรรมและพระวินัย เพื่อให้พระศาสนามั่นคงและแพร่หลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า กัสสปะผู้นี้จักเป็นผู้ดำรงวงศ์พระสัทธรรมของเรา จึงทรงอนุเคราะห์เรา ด้วยการอนุเคราะห์ที่ไม่ทรงกระทำแก่ผู้อื่นโดยทั่วไปนี้ เปรียบเหมือนพระราชาทรงอนุเคราะห์พระราชโอรส ผู้ดำรงวงศ์ตระกูลด้วยทรงมอบเกราะและพระราชอิสริยยศ มิใช่หรือ เรานั้นจะมีหนี้อื่นอะไรเล่า จึงควรจักทำความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อช่วยกันสังคายนาธรรมและวินัย

การแสดงออกของพระสุภัททะ ทำให้พระมหากัสสปะได้ถือเป็นเหตุสำคัญ กระทำปฐมสังคายนาพระธรรมวินัย ดังนี้

ทางด้านคณะสงฆ์และเจ้ามัลลกษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ได้ทำพิธีสักการะบูชาพระบรมศพพระพุทธเจ้าเป็นเวลาถึง ๖ วัน ในวันที่ ๗ จึงเชิญพระบรมศพเป็นขบวนไปทางทิศเหนือของเมือง ผ่านใจกลางเมือง แล้วเชิญพระศพไปมกุฏพันธนเจดีย์ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของเมือง เพื่อถวายพระเพลิง วันที่กำหนดจะถวายพระเพลิงนั้น ตรงกับวันแรม ๘ คํ่าเดิอน ๖ ซึ่งทุกวันนี้ทางเมืองไทยเราถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เรียกว่า 'วันอัฐมีบูชา'

พระบรมศพพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในหีบทองที่เต็มไปด้วยนํ้ามันหอม ตั้งอยู่บนจิตกาธานที่ทำด้วยไม้หอมหลายชนิด ครั้นได้เวลามัลลปาโมกข์ ๔ องค์ ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้จุดเพลิง แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็มิอาจทำให้เพลิงติดได้ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราจึงได้ถามพระอนุรุทธะว่า อะไรเป็นเหตุที่ทำให้มัลลปาโมกข์ทั้ง ๔ องค์นี้ มิอาจทำให้ไฟติดได้ พระอนุรุทธเถระตอบว่าเป็นความประสงค์ของพวกเทวดาที่ทราบว่า ท่านพระมหากัสสปเถระพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป กำลังเดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่ เมืองกุสินารานี้ จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคจะยังไม่สามารถติดไฟขึ้นได้ จนกว่าท่านพระมหากัสสปจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยมือของตน ฯ

อรรถกถากล่าวว่า เทวดาเหล่านั้น เป็นอุปัฏฐากในอดีตของพระมหาเถระนั่นเอง. เพราะมีจิตเลื่อมใสในพระมหากัสสปเถระ อุปัฏฐากเหล่านั้นก็ไปบังเกิดในสวรรค์. ในครั้งนี้เหล่าเทวดาเหล่านี้ไม่เห็นพระเถระในสมาคมผู้ร่วมกระทำพิธีถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระนั้น ก็พากันคิดว่า พระมหาเถระประจำตระกูลของพวกเราไปเสียที่ไหนหนอ ก็เห็นท่านเดินอยู่ระหว่างทาง จึงพากันอธิษฐานว่าเมื่อพระเถระประจำตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอจิตกาธารอย่าเพิ่งติดไฟ ดังนี้.

ครั้นเมื่อท่านพระมหากัสสปพร้อมหมู่ภิกษุมาถึงจึงได้เข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ในเมืองกุสินารา เมื่อถึงจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วกระทำจีวรเฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาร ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า เหล่าภิกษุ ๕๐๐ รูป เหล่านั้น ก็กระทำเช่นเดียวกัน เมื่อท่านพระมหากัสสปและภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคก็มีเพลิงลุกโพลงขึ้นเอง เมื่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคถูกไฟไหม้แล้ว ท่อน้ำก็ไหลหลั่งมาจากอากาศ และจากไม้สาละดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วนๆ แล้วเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ที่สันคารศาลา คือ หอประชุมกลางเมือง รอบหอประชุมนั้นจัดทหารถืออาวุธพร้อมสรรพคอยพิทักษ์รักษา และทำสักการะบูชาด้วยฟ้อนรำ ดนตรีประโคมขับ และดอกไม้นาๆประการ และมีนักขัตฤกษ์เอิกเกริกกึกก้องฉลองถึง ๗ วันเป็นกำหนด

เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนา

ท่านพระมหากัสสปะผู้เป็นสังฆเถระของภิกษุประมาณเจ็ดแสนรูปที่ประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาระลึกถึงคำของ สุภัททะ กล่าวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วัน และดำริของท่านที่จะกระทำปฐมสังคายนาจึงได้แสดงดำรินั้นต่อสงฆ์ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ถ้ากระนั้น ขอพระเถระ จงคัดเลือกภิกษุ ทั้งหลายเถิดขอรับ ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเถระ จึงคัดเลือกพระอรหันต์ได้ ๔๙๙ รูป หย่อน ๕๐๐ รูปอยู่องค์หนึ่ง

เหตุที่พระมหากัสสปเถระจึงทำให้หย่อน ๕๐๐ อยู่รูปหนึ่ง อรรถกถากล่าวไว้ว่า เพื่อไว้ให้โอกาสแก่ท่านพระอานนท์เถระเพราะ พระมหาเถระได้พิจารณาว่า การกระทำสังคายนานั้น มีเหตุทั้งไม่ควรเลือก และ เหตุที่ควรเลือกพระอานนท์เข้าร่วมกระทำสังคายนา เหตุที่ไม่ควรเลือกก็เพราะว่าพระอานนท์นั้นเป็นพระเสขะ (ยังไม่บรรลุพระอรหันต์) ยังมีกิจที่ต้องทำอยู่ จึงไม่ควรเลือก แต่ถ้าเว้นท่านพระอานนท์เสียก็ไม่อาจทำสังคายนาธรรมได้ ด้วยธรรมทั้งหลายข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงแล้ว ไม่มีธรรมข้อใดที่พระอานนท์ไม่ได้รับฟังต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า (ด้วยเหตุที่ท่านขอพรต่อพระศาสดาก่อนที่จะรับเป็นพุทธอุปัฏฐาก ว่าถ้าพระพุทธองค์ไปทรงแสดงธรรมในที่ซึ่งพระอานนท์ไม่ได้อยู่ด้วย พระพุทธองค์จะต้องแสดงธรรมนั้นต่อพระอานนท์อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระอานนท์เกรงข้อครหาของผู้ที่จะกล่าวว่า เป็นพระพุทธอุปัฏฐาก ใกล้ชิดพระพุทธเจ้าแต่ไม่เคยได้ยินธรรมข้อนั้น ข้อนี้) ฉะนั้น จึงไม่อาจเว้นเสียได้.เพราะว่า ท่านพระอานนท์นั้นแม้เป็นเสขะอยู่ แต่ก็น่าที่พระมหากัสสปเถระจะเลือก เพราะเป็นผู้มีอุปการะมากต่อการทำสังคายนาธรรม

แต่ที่พระมหากัสสปเถระตัดสินใจไม่เลือกพระอานนท์เถระ ก็เพราะจะหลีกเลี่ยงการตำหนิติเตียนจากบุคคลที่ไม่เข้าใจ อันที่จริงแล้ว ท่านพระเถระมีความสนิทสนมอย่างเหลือเกินกับท่านพระอานนท์.ดังเช่น ถึงท่านพระอานนท์จะมีผมบนศีรษะหงอกแล้ว.พระมหากัสสปเถระก็ยังสั่งสอนท่านพระอานนท์เถระด้วยวาทะเหมือนหนึ่งว่าท่านพระอานนท์ยังเป็นเด็กอยู่ เช่นว่า “เด็กคนนี้ ไม่รู้จักประมาณเสียเลย”. เป็นต้น

อีกประการหนึ่งท่านพระอานนท์นี้เกิดในตระกูลศากยะ เป็นพระอนุชาของพระตถาคต เป็นโอรสของพระเจ้าอา. ในการคัดเลือกท่านพระอานนท์ ภิกษุทั้งหลายจะสำคัญว่าท่านลำเอียง เลือกเพราะรัก จะพึงตำหนิติเตียนว่าพระมหากัสสปเถระละเว้นเหล่าภิกษุผู้บรรลุอรหันต์ปฏิสัมภิทาองค์อื่นไปเสีย แล้วไปเลือกพระอานนท์ ผู้ยังไม่บรรลุอรหัตผล. พระเถระเพื่อจะหลีกเลี่ยงคำตำหนิติเตียนนั้น จึงคิดว่า “ถ้าเว้นพระอานนท์เสีย ก็ไม่อาจทำสังคายนากันได้ แต่เราจะเลือก ก็ต่อเมื่อภิกษุทั้งหลายอนุมัติเท่านั้น” ดังนี้จึงไม่เลือกเอง.
ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันร้องขอพระเถระ เพื่อให้ท่านเลือกอานนท์เสียเองเลย ดังนั้น ท่านพระมหากัสสปเถระ จึงได้เลือกท่านพระอานนท์ด้วยดังนี้.
พระเถระจึงได้มีจำนวนครบ ๕๐๐ รวมทั้งท่านพระอานนท์ ที่พระเถระเลือกโดยอนุมัติของภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้
เมื่อเลือกได้พระสงฆ์ครบทั้ง ๕๐๐ รูปแล้ว พระเถระทั้งหลายปรึกษากันว่า พวกเราควรจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยที่ไหนดีหนอ ครั้นแล้วเห็นพ้องต้องกันว่า พระนครราชคฤห์ มีโคจรคามมาก มีเสนาสนะเพียงพอ สมควรที่พวกเราจะอยู่ จำพรรษาในพระนครราชคฤห์ สังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุพวกอื่นไม่ควร เข้าจำพรรษาในพระนครราชคฤห์ ด้วยเกรงว่าเพราะจะมีวิสภาคบุคคลบางคนเข้าไปสู่ท่ามกลางสงฆ์ซึ่งกำลังทำสังคายนาอยู่ แล้วจะคัดค้านถาวรกรรมของพวกท่านนี้เสีย
ครั้งนั้น พระมหากัสสปเถระ พิจารณาว่า นับแต่วันที่พระตถาคตปรินิพพานมา จนถึงบัดนี้เป็นอันล่วงไปแล้วกึงเดือน บัดนี้ฤดูคิมหันต์ยังเหลืออยู่เดือนครึ่ง ดิถีที่จะเข้าจำพรรษาก็ใกล้เข้ามาแล้ว จึงชักชวนหมู่พระสงฆ์ที่จะทำสังคายนาให้เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ แล้วก็ได้พาเอาภิกษุสงฆ์กึ่งหนึ่งเดินทางไปทางหนึ่ง ส่วนพระอนุรุทธเถระก็พาเอาภิกษุสงฆ์กึ่งหนึ่งเดินไปอีกทางหนึ่ง. ท่านพระอานนท์เถระนั้นถือเอาบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ที่มีความประสงค์จะเดินทางผ่านกรุงสาวัตถีไปยังกรุงราชคฤห์ ก็หลีกจาริกไปทางกรุงสาวัตถี

สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีวัดใหญ่อยู่ ๑๘ วัด ทุกวัดมีขยะและหยากเยื่อที่เขาทิ้งตกเรี่ยราดเต็มไปหมด.เพราะในช่วงเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายต่างก็ทอดทิ้งวัดและบริเวณไปกันหมด ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลายคิดกันว่า เราจะช่วยกันปฏิสังขรณ์วิหารที่ชำรุดทรุดโทรมในตลอดเดือนแรกแห่งพรรษา เพื่อบูชาพระพุทธดำรัสและปลดเปลื้องคำตำหนิติเตียนของพวกเดียรถีย์. ด้วยว่าพวกเดียรถีย์พากันติเตียนว่า พวกสาวกของพระสมณโคดม เมื่อศาสดายังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยกันทะนุบำรุง ครั้นศาสดาปรินิพพานแล้ว ก็พากันทอดทิ้งไป.

ดังนั้นในเดือนแรกของพรรษาท่านจึงได้ทำการบูรณะพระอารามทั้ง ๑๘ แห่ง โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงถวายการช่วยเหลือในครั้งนั้น แล้วจึงได้เริ่มกระทำการปฐมสังคายนา โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นองค์อุปัฐากการทำสังคายนาในครั้งนั้น โดยโปรดเกล้าฯให้สร้างสถานที่นั่งประชุมสำหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทำสังคายนาที่ปากถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภารบรรพต

ในวันก่อนการทำสังคายนา ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุม แต่การที่เรายังเป็นเสขบุคคลอยู่นั้นจะไปเข้าร่วมประชุมนั้นไม่เหมาะสม ในคืนนั้นจึงเร่งทำความเพียรจนเกือบตลอดราตรีก็ยังไม่บรรลุธรรม ครั้นในเวลาใกล้รุ่งจึงเอนกายลงด้วยตั้งใจว่า เราเร่งทำความเพียรจนเกินไป จึงดำริที่จะนอนพักสักครู่หนึ่ง แต่ขณะที่เอนตัวลง ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอนและเท้ายังไม่ทันพ้นจากพื้น ในระหว่างนั้น จิตได้หลุดพ้นจากอาสวะ บรรลุธรรมเป็นเป็นพระอรหันต์

ในการสังคายนานั้น มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย โดย พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อบัญญัติพระวินัย และ พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม

ในการสังคายนา เหล่าพระสงฆ์มีมติให้สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน โดยเริ่มจาก สังคายนาทีฆนิกาย สังคายนามัชฌิมนิกาย สังคายนาสังยุตตนิกาย สังคายนาอังคุตตรนิกาย ไปตามลำดับ

ครั้นสังคายนาทีฆนิกายแล้ว พระธรรรมสังคาหกเถระกล่าวว่า นิกายนี้ชื่อทีฆนิกาย แล้วมอบท่านพระอานนท์ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกาย แล้วมอบแก่ศิษย์ของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระว่า ท่านทั้งหลายจงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น พระธรรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนาสังยุตตนิกาย แล้วมอบแก่พระมหากัสสปเถระ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาอังคุตตรนิกาย แล้วมอบแก่พระอนุรุทธเถระให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

ในการสังคายนานั้นได้กำหนดแยกธรรมออกเป็นหมวดหมู่ เมื่อสังคายนาแล้วจึงร้อยกรองไว้ว่า นี้พระธรรม นี้พระวินัย นี้ปฐมพุทธพจน์ นี้มัชฌิมพุทธพจน์ นี้ปัจฉิมพุทธพจน์ นี้พระวินัยปิฎก นี้พระสุตตันตปิฎก นี้พระอภิธรรมปิฎก นี้ทีฆนิกาย นี้มัชฌิมนิกาย นี้สังยุตตนิกาย นี้อังคุตตรนิกาย นี้ขุททกนิกาย นี้องค์ ๙ มีสุตตะเป็นต้น นี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.นอกจากนั้นก็ยังแยกเป็นประเภทที่ควรรวบรวมไว้แม้อื่น ๆ ซึ่งมีหลายชนิด มีอุทานสังคหะ วัคคสังคหะ เปยยาลสังคหะ นิบาตสังคหะ เช่นเอกนิบาต และทุกนิบาต เป็นต้น สังยุตตสังคหะและปัณณาสกสังคหะเป็นอาทิ ที่ปรากฏอยู่ในพระ-ไตรปิฎก ได้ร้อยกรองอยู่ ๗ เดือนจึงสำเร็จ

ในเวลาจบการร้อยกรองพระพุทธพจน์นั้น มหาปฐพีนี้เหมือนเกิดความปราโมทย์ และให้สาธุการว่า พระมหากัสสปเถระ ทำพระศาสนาของพระทศพลนี้ให้สามารถยั่งยืนต่อไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ พระวรรษา ดังนี้ ปฐพีก็หวั่นไหวเอนเอียง สะเทือนสะท้านเป็นอเนกประการ จนถึงน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด และอัศจรรย์ทั้งหลายเป็นอันมากก็ได้ปรากฏมีแล้ว ด้วยประการฉะนี้.


ส่วนนี้คัดลอกมาจาก http://www.heritage.thaigov.net/religion/priest/priest.html
---------------------------------------------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น